ล่าสุดนั้นทางค่าย Yamaha ฝั่งไต้หวันได้มีการเปิดตัวสกู๊ตเตอร์สายแอดเวนเจอร์ แต่ได้เปลี่ยนชื่อเพื่อใช้ในการทำตลาดในอเมริกา เป็น Yamaha ZUMA แทนซึ่งก็ได้เรียกกระแสความสนใจรวมถึงยังเรียกร้องให้ทางแบรนด์นั้นทำรถรุ่นนี้ในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้าง
โดยจากข้อมูลที่มีก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด กับบทความนี้ทางทีมงานสองล้อคลับก็ขอพาท่านผู้อ่านทุกท่านนั้น ไปเจาะลึกถึงรายละเอียดของเจ้า Yamaha BWS 125 รุ่นปี 2023 ที่อาจจะมีออกมาให้ทุกท่านได้สัมผัสกันทั้งการออกแบบรวมไปถึงขุมพลังจะเป็นอย่างไรไปดูกันเลย!
แนวทางการออกแบบ Yamaha BWS 125 รุ่นปี 2023
สำหรับเจ้า Yamaha BWS 125 ในเวอร์ชั่น 2023 จะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของดีไซน์ภายนอก ให้ค่อนข้างแตกต่างไปจากรุ่นก่อนนี้อยู่พอสมควร ซึ่งในรุ่นนี้มาพร้อมกับไฟหน้าคู่ทรงกลมในรูปแบบโปรเจ็กเตอร์ฮาโลเจน โดยจะแยกส่วนการทำงานของไฟสูงต่ำอย่างชัดเจน
สำหรับในส่วนแผงรอบคันรวมไปถึงแผงคอนโซลเรือนไมล์จะถูกปรับปรุงเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด ไม่เพียงเท่านี้ทางแบรนด์ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะพื้นผิวขึ้นด้วยการปรับขนาดหน้ายางใหม่อีกด้วย ดูได้จากขนาดที่ใหญ่กว่าเดิม โดยเปลี่ยนมาใช้งานยางอเนกประสงค์ขนาด 120/70 และ 130/70 บนล้อทั้งสองฝั่งนั่นเอง
มิติรถ BWS 125 ในเวอร์ชั่น 2023
- ขนาด ยาว x กว้าง x สูง อยู่ที่ 1,920 x 759 x 1,150 มิลลิเมตร
- ความสูงเบาะ อยู่ที่ 785 มิลลิเมตร
- ระยะฐานล้อ อยู่ที่ 1,341 มิลลิเมตร
- น้ำหนักตัวพร้อมใช้งานอยู่ที่ 128 กิโลกรัม
- น้ำมันเชื้อเพลิงจุได้ 6 ลิตร
ฟีเจอร์ที่ทางแบรนด์มีให้
- แผงมาตรวัดความเร็วแบบดิจิตอล
- ช่องเสียบชาร์จ USB
- ดิสก์เบรกหลัง (ระบบเบรก UBS หรือ CBS )
- ที่เก็บสัมภาระใต้เบาะสุดกว้างขวาง (ใส่หมวกกันน็อคแบบเปิดคางได้ 1 ใบ)
- อุปกรณ์ใหม่ไฟตัดหมอก
- ไฟเบรกหลังใหม่ดีไซน์ใหม่
- แฮนด์จับที่ปรับตำแหน่งใหม่ ส่งผลให้ได้ท่าทางขับขี่ที่เหมาะสมมากขึ้นนั่นเอง
ข้อมูลด้านขุมพลังของเจ้า Yamaha BWS 125
สำหรับทางด้านขุมพลังของเจ้า Yamaha BWS 125 นั้นมาในเครื่องยนต์ของ Bluecore ขนาด 125cc 1 สูบ 4 จังหวะ 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ มาพร้อมระบบวาล์วแปรผัน ซึ่งเน้นเรื่องความประหยัดน้ำมัน แต่ยังได้ความแรง โดยอัตราสิ้นเปลืองของตัวรถสามารถทำได้ที่ 43 กิโลเมตรต่อลิตร
สำหรับท่านที่สนใจ
ในส่วนของราคาวางจำหน่ายของ Yamaha Zuma 125 หรือ Yamaha BWS 125อยู่ที่ 3,699 ดอลล่าสหรัฐ หรือราวๆ 120,000 บาท เริ่มส่งมอบในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถ้าหากรถรุ่นนี้วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยใช้โรงงานประกอบในโซนอาเซียน จะมีราคาถูกลงกว่านี้ค่อนข้างมาก
สำหรับสีที่วางจำหน่าย มี 2 สีด้วยกัน ได้แก่สีน้ำเงิน และ สีดำนั่นเอง และเช่นเคยหากท่านผู้อ่านท่านใดต้องการอ่านสาระดีๆเกี่ยวกับชาวส้องล้อหรือติดตามการรีวิวรถเพิ่มเติมสามารถคลิกได้ที่ลิงค์ songlorclub นี้คลิกเลย!
- เปิดตัว Suzuki JIMNY Offroad Edition รุ่นปี 2025 ใหม่ รุ่นพิเศษตกแต่งสไตล์ออฟโรด - December 4, 2024
- รีวิว Hyundai PALISADE 2025 พร้อมห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง - December 2, 2024
- รวม 7 ที่จับมือถือ มอเตอร์ไซค์ แบบไหนดี ไม่หลุด ไม่ร่วง ใช้งานได้นาน - November 26, 2024